รองอธิบดีกรมการปกครองร่วมพิธีเปิดโครงการ "สานใจไทย สู่ใจใต้" รุ่นที่ 45 พื้นที่ภาคกลาง และรับโล่ประกาศเกียรติคุณเพื่อแสดงความขอบคุณที่สนับสนุนการดำเนินงานของมูลนิธิฯ

8 ตุลาคม 2568

รองอธิบดีกรมการปกครองร่วมพิธีเปิดโครงการ "สานใจไทย สู่ใจใต้" รุ่นที่ 45 พื้นที่ภาคกลาง และรับโล่ประกาศเกียรติคุณเพื่อแสดงความขอบคุณที่สนับสนุนการดำเนินงานของมูลนิธิฯ

วันจันทร์ที่ 6 ตุลาคม 2568 เวลา 10.30 น. ณ สโมสรทหารบก ถนนวิภาวดี กรุงเทพฯ นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร อธิบดีกรมการปกครอง มอบหมายให้ นายวิรุฬห์ สิทธิวงศ์ รองอธิบดีกรมหารปกครอง ร่วมพิธีเปิดโครงการ "สานใจไทย สู่ใจใต้" รุ่นที่ 45 พื้นที่ภาคกลาง โดยมีพลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ ประธานองคมนตรี และนายกมูลนิธิ “สานใจไทย สู่ใจใต้” เป็นประธานในพิธี โดยมีร้อยตำรวจโท อาทิตย์ บุญญะโสภัต เลขาธิการมูลนิธิ "สานใจไทย สู่ใจใต้" กล่าวรายงาน ซึ่งมีนายอรุณ บุญชม จุฬาราชมนตรี นายอารีย์ วงศ์อารยะ ประธานกรรมการบริหารมูลนิธิฯ ซึ่งในส่วนของกระทรวงมหาดไทย นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย มอบหมายให้ นายชูชีพ พงษ์ไชย รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ด้านบริหาร เข้าร่วม รวมถึงผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย และผู้ว่าราชการจังหวัด รองผู้ว่าราชการจังหวัด อาทิ นายขจรเกียรติ รักพานิชมณี อธิบดีกรมที่ดิน นายชานน วาสิกศิริ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครนายก นายเอกวิทย์ มีเพียร ผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี นางพาตีเมาะ สะดียามู ผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี นายวรงค์ แสงเมือง รองอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน นายชัยรัตน์ แก้วเพียงเพ็ญ รองอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เยาวชนผู้เข้าร่วมโครงการ และตัวแทนครอบครัวอุปถัมภ์ เข้าร่วมพิธี

ในปีนี้ มูลนิธิ “สานใจไทย สู่ใจใต้” ได้ดำเนินการจัดกิจกรรมโครงการ “สานใจไทย สู่ใจใต้” รุ่นที่ 45 ประจำปี 2568 โดยนำเยาวชนในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ จังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส สตูล และสงขลา (อำเภอจะนะ เทพา นาทวี และสะบ้าย้อย) มาศึกษาเรียนรู้และใช้ชีวิตร่วมกับครอบครัว อุปถัมภ์ในพื้นที่ภาคกลาง (กรุงเทพมหานคร จังหวัดฉะเชิงเทรา ชลบุรี นครนายก นนทบุรี ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา สมุทรปราการ สระบุรี และอ่างทอง) และพื้นที่จังหวัดฝั่งทะเลอันดามัน (จังหวัดภูเก็ต พังงา และกระบี่) รวมจำนวน 440 คน เพื่อให้เยาวชนได้มีโอกาสสร้างเสริมประสบการณ์ชีวิตในบริบทของสังคมที่แตกต่างไปจาก ที่เยาวชนคุ้นเคย ซึ่งจะเป็นแรงบันดาลใจให้เยาวชนมีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาตนเอง พัฒนาถิ่นที่อยู่ และพัฒนาสังคมให้มีความสันติสุขต่อไป โดยกิจกรรมโครงการฯ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 27 กันยายน - 28 ตุลาคม 2568 ช่วงเวลาปิดภาคเรียน

สำหรับโครงการ “สานใจไทย สู่ใจใต้” ดำเนินการมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2548 จากดำริของ ฯพณฯ พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ อดีตประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ โดยการสนับสนุนจากคณะกรรมการของมูลนิธิรัฐบุรุษ พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ มูลนิธิรักเมืองไทย และมูลนิธิพิทักษ์อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี กองทัพทุกเหล่า และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน นำเยาวชนมุสลิมจากจังหวัดชายแดนภาคใต้ มาใช้ชีวิตร่วมกับครอบครัวอุปถัมภ์ที่นับถือศาสนาอิสลามในกรุงเทพมหานคร และจังหวัดใกล้เคียง เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้สภาพความเป็นอยู่ของครอบครัวอุปถัมภ์และชุมชนสังคมพหุวัฒนธรรม ทำให้เยาวชนได้รับประสบการณ์ตรง และมีความเข้าใจบริบทของสังคมประเทศไทยมากยิ่งขึ้น จนนำไปสู่ความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างครอบครัวอุปถัมภ์กับครอบครัวเยาวชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้

นายกมูลนิธิฯ กล่าวว่า โครงการสานใจไทยสู่ใจใต้มีพัฒนาการที่ดี นับแต่เมื่อปี 2567 ในรุ่นที่ 44 ที่ได้มีการเปิดโครงการ ณ จังหวัดชายฝั่งทะเลอันดามัน และในปีนี้ก็ได้มีการเพิ่มเติมพื้นที่ชายฝั่งทะเลอันดามันต่อเนื่อง ซึ่งเป็นส่วนสำคัญให้เยาวชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้รับการเพิ่มจำนวน เพื่อได้เพิ่มพูนประสบการณ์ ทักษะ และโอกาสได้เรียนรู้เรื่องราวต่าง ๆ ทั้งจากครอบครัวอุปถัมภ์ การประกอบกิจกรรมต่าง ๆ ในแต่ละจังหวัด แต่ละท้องถิ่น ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง เพราะ

1. เยาวชนได้มาเห็นด้วยตาของตนเองว่าคนต่างความเชื่อ ต่างศาสนิก ก็อยู่ร่วมกันได้ ดังที่เราพูดกันในภาษาที่สวยงามว่า “พหุวัฒนธรรม” แต่ความจริงใจจะเกิดได้ต้องมีการเปิดใจของทุกคน การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน สิ่งเหล่านี้จะทำให้สังคมซึ่งไม่ว่าจะมีความเชื่อใดใดก็ตาม ถ้าเราเปิดใจแล้วก็ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน สังคมนั้นก็จะสามารถอยู่ร่วมกันได้ แต่หากเรายังลังเล ยังไม่เปิดใจออกมาพูดกัน ยังมีสิ่งที่ซ่อนอยู่ เราก็ไม่สามารถที่จะอยู่ร่วมกันได้อย่างสนิทใจ เพราะฉะนั้น บทเรียนนี้ก็จะเป็นส่วนสำคัญที่สุดของเยาวชนทุก ๆ คน ที่ได้รับและสามารถที่จะนำไปปรับตัวในท้องถิ่นของตนเองได้

2. การประกอบอาชีพ ซึ่งเยาวชนที่มาในพื้นที่ภาคกลางจะได้เห็นว่า จะได้มีโอกาสได้เรียนรู้ ได้เห็นเทคโนโลยีและกิจการต่าง ๆ ที่ล้วนส่งเสริมในเรื่องของความรู้ที่จะเรียนต่อไปในระดับอุดมศึกษา และระดับที่สูงขึ้นต่อไป ซึ่งจะเป็นโอกาสที่ดีอย่างมากที่เยาวชนได้พบได้เห็น และสำหรับเยาวชนในพื้นที่ชายฝั่งอันดามันก็จะได้เรียนรู้ในเรื่องของวิธีการที่จะประกอบอาชีพทางด้านการท่องเที่ยว การทำกิจการที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของการท่องเที่ยว ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็เป็นวิถีทางที่เราสามารถนำไปปรับใช้ในท้องถิ่นของตัวเราเองได้ต่อไป ดังนั้น อยากให้เยาวชนทั้งที่มาในจังหวัดภาคกลาง และจังหวัดชายทะเลอันดามัน ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ซึ่งกันและกัน เพราะประสบการณ์ของทั้ง 2 กลุ่ม ก็ต่างกัน และเมื่อกลับไปแล้ว ก็ขอให้ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ซึ่งกันและกัน ก็จะเป็นการเพิ่มพูนความรู้ และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ซึ่งกันและกันได้ด้วย อันจะเป็นประโยชน์เป็นอย่างยิ่ง

3. เยาวชนได้มีโอกาสศึกษาเรื่องราวความเป็นมาของชาติบ้านเมืองของเราซึ่งเป็นเรื่องสำคัญ เพราะพื้นที่ชายฝั่งทะเลอันดามันเป็นจุดเริ่มต้นของคำว่า “สุวรรณภูมิ” ที่เราไม่ได้เรียกตัวเอง คนอื่นเป็นคนเรียก เขาตั้งชื่อดินแดนแห่งนี้ว่า “สุวรรณภูมิ” ดังหลักฐานที่ปรากฏเป็นลายลักษณ์อักษร เป็นจารึก ทั้งที่คลองท่อม จังหวัดกระบี่ และที่บ้านภูเขาทอง จังหวัดระนอง ซึ่งทั้งสองแห่งได้มีหลักฐานที่เรียกได้ว่ามีอายุ 2,000 กว่าปี และเป็นหลักฐานที่ชัดเจน ที่สามารถพิสูจน์ได้ เพราะฉะนั้น คำว่า “สุวรรณภูมิ” เป็นคำที่เขาเรียกพื้นที่ของเรา เนื่องจากการค้า การแลกเปลี่ยน และความสามารถที่จะแสวงประโยชน์จากการค้าขายจากดินแดนแห่งนี้จนกลายเป็นสิ่งที่เรียกว่า เป็น “ดินแดนแห่งทองคำ” นี่คือเรื่องราวของอดีตที่เป็นต้นทางประวัติศาสตร์บ้านเมืองของเรา 2,000 กว่าปี และจากจุดเริ่มต้นดังกล่าวถือได้ว่าเข้าสู่ยุคประวัติศาสตร์แล้ว เพราะมีจารึก มีคำที่คนอื่นได้บันทึกไว้ด้วย สิ่งเหล่านี้ก็ถือว่า เราสามารถเรียนรู้และเข้าใจถึงประวัติศาสตร์ก่อเกิดดินแดนที่เรียกว่า “สุวรรณภูมิ” รวมไปถึงเรื่องความเจริญ ความรุ่งเรือง ของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ที่นานาประเทศต้องเข้ามาทำมาค้าขายตลอดระยะเวลา 417 ปีที่ผ่านมา แต่ทว่า “จากความเจริญเราก็ต้องศึกษาถึงความเสื่อมด้วย” ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องราวที่เราเรียนรู้จากอดีตแล้วก็สามารถที่จะนำมาแก้ไข ปรับปรุง เพื่อให้การดำเนินชีวิต การปรับปรุงชาติบ้านเมืองของเรามีความเจริญก้าวหน้า มีความรุ่งเรือง ไม่ต้องประสบปัญหาเช่นเดียวกับในอดีต เพราะเรารู้แล้ว่าเหตุที่ทำให้เกิดความเสื่อมนั้น มันเป็นอย่างไร นั่นก็เป็นเรื่องราวที่เราศึกษาได้จากประวัติศาสตร์ และขอฝากทางจังหวัดต่าง ๆ ขอให้ช่วยกันจัดเวลา แนะนำให้กับเยาวชนได้มีโอกาสได้ทราบความเป็นมาเป็นไปของแต่ละจังหวัด ให้เยาวชนได้เข้าใจว่าที่มาที่ไปของแต่ละจังหวัดนั้นเป็นอย่างไร เพราะเรื่องของประวัติศาสตร์ก็เป็นส่วนหนึ่งซึ่งจะสะท้อนถึงการที่เราจะพัฒนาชาติบ้านเมืองของเราต่อไปในอนาคต เพื่อจะได้นำมาปรับปรุงบ้านเมืองของเราให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีความสงบสุข มีความสมานฉันท์ มีการปลูกฝังจิตสำนึกอย่างที่ ฯพณฯ พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ได้พูดถึงว่า “เกิดมาต้องตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน” นั่นหมายถึงว่า ท่านปรารถนาให้คนไทยทุกคนมีความสำนึกถึงความเป็นไทย มีส่วนร่วมในการเป็นเจ้าของประเทศ ทำให้เกิดความรัก ความหวงแหนในแผ่นดินบ้านเกิดเมืองนอนของเรา มีความมั่นคงและยึดมั่นศรัทธาในแก่นแท้ของศาสนาของตนที่เรานับถือ และจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ที่ทรงมีพระกรุณาธิคุณอันล้นพ้นแก่ประชาชนชาวไทยนับจากออดีตกาลถึงปัจจุบัน

 

วันนี้ก็ดีใจที่ได้ยินตามที่หลาน ๆ ได้เรียกตนว่า “ลุงแอ๊ด” คำเรียกขานนี้ได้อธิบายหลาย ๆ อย่าง อันเป็นความรัก ความผูกพัน และเป็นประเพณีอันดีงามของคนไทย คำว่า “ลุง” คำว่า “ป้า” ก็เป็นการนับญาติ ซึ่งการเป็นญาติกันในสังคมไทยนั้นเป็นความสำคัญ และเป็นประเพณีอันดีงาม ซึ่งเราไม่จำเป็นต้องอยู่ในตระกูลเดียวกัน เราก็เคารพนับถือกันได้ เป็นพี่ ป้า น้า อา ลุง ปู่ ย่า ตา ยาย เป็นกันได้ เมื่อได้ยินหลาน ๆ พูดถึงก็ทำให้เกิดความภาคภูมิใจและผูกพันต่อพวกเราว่า “เราเป็นญาติกัน” เรามีความผูกพันกัน หลาน ๆ เองก็ต้องเข้าใจในส่วนนี้ ธรรมเนียมของบ้านเมืองของเรา “การเรียกชื่อเล่นก็เป็นอีกประเพณีหนึ่งที่แสดงถึงความใกล้ชิด” ความผูกพัน เพราะถ้าไม่ใช่คนที่ใกล้ชิดกันแล้วเราก็ไม่สามารถเรียกชื่อเล่นกันได้ แต่ถ้าหากได้รับอนุญาตให้เรียกชื่อเล่นได้ ก็หมายถึงว่า เรามีความใกล้ชิดกัน นั่นเป็นอีกส่วนหนึ่งที่อยากจะพูดถึงว่าหลาน ๆ ได้ให้ความไว้วางใจกับลุงและมีควาผูกพันกัน ซึ่งถือว่าเป็นส่วนสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เรื่องเหล่านี้ มันสะท้อนถึงประเพณีและวัฒนธรรมและความผูกพันอันดีงามในสังคมของเรา ก็ต้องขอขอบใจหลาน ๆ ทุกคน แล้วก็ขอให้ความสัมพันธ์อันนี้จนเป็นเรื่องผูกพันที่จะทำให้เราร่วมมือร่วมใจกันในการทำคุณประโยชน์ ทำสิ่งที่ดีงามให้กับชาติบ้านเมืองของเราต่อไป และขอฝากสิ่งที่เคยพูดกับรุ่นพี่ ๆ ไว้นานแล้วว่า “ขอให้หลานถามตัวเองว่า ปัญหาที่อยากแก้ และความดีที่อยากทำอยู่เสมอ” สิ่งเหล่านี้จะคอยเป็นเครื่องเตือนใจกับเราว่า เรามีความตั้งใจที่จะทำความดี มีความตั้งใจที่จะแก้ปัญหาสิ่งที่ไม่ดีให้มันเป็นสิ่งที่ดีให้ได้

.

ขอขอบคุณครอบครัวอุปถัมภ์ที่ได้กรุณาเสียสละ ซึ่งตนได้พูดเสมอว่า ท่านไม่ต้องทำอะไรมาก ท่านเพียงแต่เปิดใจให้ความรัก ให้การดูแลกับเยาวชน แล้วก็ให้การต้อนรับเยาวชนเสมือนกับเขาเป็นลูกหลานของท่านเท่านั้นเอง ก็จะเป็นสิ่งที่เป็นความรัก ความผูกพัน ซึ่งก็จะได้รับผลตอบแทนที่ดีกับครอบครัวอุปถัมภ์และเยาวชนตั้งแต่ในอดีตที่ผ่านมา กระทั่งถึงปัจจุบัน ซึ่งตนคิดว่าสิ่งที่ยังเป็นสิ่งที่ช่วยให้โครงการของเราเดินหน้าไปได้ด้วยดี เพราะทุกท่านได้เสียสละและให้เวลาดูแลเยาวชนทั้ง 320 คน ในช่วงเวลาประมาณ 2 สัปดาห์นี้

 

เลขาธิการมูลนิธิฯ กล่าวว่า โครงการสานใจไทยสู่ใจใต้ ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2548 โดย พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ อดีตประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เพื่อมุ่งเปิดโอกาสให้เยาวชน 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ ปัตตานี ยะลา นราธิวาส สตูล และ 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา (จะนะ นาทวี เทพา และสะบ้าย้อย) ได้รับการส่งเสริมการเรียนรู้และพัฒนาต่อยอดศักยภาพเพื่อให้เกิดความภาคภูมิใจในความเป็นไทยด้วยความรัก ความอบอุ่น ภายใต้สังคมพหุวัฒนธรรม